วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำได้! ปลูกพืช 10 ชนิดบนพื้นที่ไร่ครึ่ง สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน



ทำได้! ปลูกพืช 10 ชนิดบนพื้นที่ไร่ครึ่ง สร้างรายได้ครึ่งแสนต่อเดือน
กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความการเกษตรของเราในวันนี้ครับ ในยุคที่อะไรๆ ก็แพง เศรษฐกิจก็ย่ำแย่แบบนี้หลายคนจึงมักจะมองหาอาชีพเสริมจากงานประจำที่ทำอยู่ เพราะดูเหมือนว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆ นั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับรายได้ของเราเสียเหลือเกิน และอีกหนึ่งอาชีพที่หลายๆ คนอยากจะทำก็คือ การเกษตร ครับ

เพราะอะไรหลายคนถึงคิดอยากจะทำการเกษตร นั่นก็เพราะว่าพื้นฐาน รากเดิมของเราผู้พันธ์กับวิถีชีวิตแบบนี้มาช้านานนั่นเอง หลายๆ คนที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ นั่งในออฟฟิศแอร์เย็นๆ แต่เชื่อว่าใจนั้นคงไปอยู่กับสวน กับไร่ กับนากันแล้วครับ ฮ่าๆ แล้วการทำเกษตรมันจะได้ตัง มีรายได้เหมือนกับงานที่มีเงินเดือนหรือเปล่า อันนี้ทุกคนต้องไปพิสูจน์กันเองครับ
และตัวอย่างของการทำเกษตรแล้วมีรายได้จริงนั้นก็มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป อย่างเช่นที่เรานำมาให้ได้ชมกันในวันนี้ครับ ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ที่ทำให้เราได้รู้ว่าการเกษตรนั้นสร้างรายได้อย่างงามจริงๆ จากคลิปในรายการ “เกษตรทำเงิน” ของทางสำนักข่าวไทยที่ได้เผยแพร่เอาไว้ในยูทูบ ระบุว่า บนพื้นที่เพียงแค่ไร่ครึ่งนั้นสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยมากถึง 5- 6 หมื่นบาทต่อเดือน ด้วยการปลูกพืชผักทางการเกษตรผสมผสานเข้าด้วยกัน 10 ชนิด เป็นชั้นๆ ทั่วทั้งพื้นที่ใช้สารเคมีน้อย สามารถเก็บผลผลิตหมุนเวียนขาย สลับกันไป ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปีเลยทีเดียวครับ นับว่าน่าสนใจจริงๆ

เกษตรกรตัวอย่างท่านนี้มีชื่อว่าคุณชัยยา ท้วมเกร็ด เป็นเกษตรกรใน ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยได้ใช้ต้นสักทองจำนวน 700 ต้นในพื้นที่ปลูกต้นพลูให้เกี่ยวขึ้นตามต้น ช่วยให้เจริญเติบโตได้เร็ว และให้ผลผลิตมากกว่าการปลูกต้นพลูให้เกาะกับต้นทองหลางแบบเดิม ซึ่งต้นสักนั้นใบใหญ่และให้ร่วมเงาดีกว่าต้นทองหลางที่ขึ้นรกไร้ประโยชน์
ส่วนพื้นที่ด้านล่างนั้นปลูกส้มโอ มะนาว และใบชะพลูแซมให้เต็มพื้นที่ไร่ครึ่ง โดยทำการรดน้ำและให้ปุ๋ยเพียงครั้งเดียวก็สามารถไปถึงพืชที่ปลูกร่วมกันได้ทุกชนิด และสร้างผลผลิตสับเปลี่ยนให้เก็บขายได้ตลอด โดยเฉพาะใบชะพลูที่สามารถเก็บขายได้ทุกวัน เฉลี่ยวันละ 30-40 กิโลกรัมเลยทีเดียวครับ ในขณะที่ใบพลูนั้นก็เก็บขายได้ทุกเดือนเช่นกัน
ในส่วนของร่องสวนนั้นทำการปลูกต้นเตยหอม บริเวณรอบๆ บ้านปลูกพืชผักสวนครัวทั่วไปอย่างเช่น พริก แมงลัก กระเพรา โหระพา โดยทั้งหมดนั้นไม่มีการใช้สารเคมี ให้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ ชีวภาพ และเก็บขายได้ทุกวันเช่นกัน โดยมีการเก็บไปส่งให้แม่ค้าในหมู่บ้านไปจำหน่ายในตลาดตัวเมือง ซึ่งรวมทั้งหมดของพืชที่ปลูกไว้ทั้ง 10 ชนิดนั้นสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยแล้วมากถึง  50,000-60,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียวครับ
ดูรายละเอียดได้จากคลิปนี้เลยครับ


นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ นอกจากนี้ในคลิปดังกล่าวยังมีคนเข้ามาร่วมแวดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำเกษตรแบบผสมผสานนี้ว่าสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้จริง โดยยกตัวอย่างคนใกล้ตัวที่ทำอยู่ บางรายเพียงแค่เก็บไปขายในหมู่บ้านก็าร้างรายได้ถึงวันละ 2 พันบาทเลยทีเดียวครับ
สำหรับใครที่มีพื้นที่ มีช่องทางก็อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เสียเปล่าครับ ไปทดลองทำ ไปทดลองปลูก ทดลองสร้างกันดู ว่าการเกษตรนั้นจะสร้างรายได้ให้กับเราได้จริงหรือไม่ แล้วผลที่ได้รับนั้นจะเป็นอย่างไร งานนี้ไม่ลองไม่รู้ เกษตรแบบผสมผสาน งดใช้สารเคมี พึ่งพาตนเอง ต้นทุนต่ำ แถมยังสร้างรายได้ที่งดงาม ไม่ลองไม่ได้แล้วน่ะครับ
ขอบคุณข้อมูลและคลิปจาก : Thainewsagency Mcot

สบู่ และวิธีการทำสบู่



สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับไขมันจากพืชหรือสัตว์ ปัจจุบัน สบู่มีการใช้ส่วนผสมชนิดต่างๆเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ให้มีลักษณะพิเศษ ตรงตามความต้องการใช้งานที่หลากหลายขึ้น
สบู่” จากคำข้างต้น หมายถึง ผลิตภัณฑ์ของสบู่ที่ทำให้เป็นก้อนหรือเป็นของเหลว พร้อมด้วยส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะสำหรับการใช้ทำความสะอาด ซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์สบู่ที่เราใช้กันในทุกวันนี้ ส่วน “สบู่ (soap)” อีกคำที่พบในสมการเคมีจะหมายถึง สารตั้งต้นสำหรับการผลิตสบู่ นั่นก็คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากปฏิกิริยาระหว่างด่างเข้มข้นกับไขมันพืชหรือสัตว์ ร่วมด้วยกับกลีเซอรีน (Glycerine)/กลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งสารทั้งสองเป็นสารตั้งต้นในการทำสบู่เหมือนกัน แต่จะให้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเรียกว่า “เกล็ดสบู่”
ไขมันพืช/ไขมันสัตว์ + โซเดียมไฮดรอกไซด์/โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ = เกล็ดสบู่ (soap) + กลีเซอรอล/กลีเซอรีน + แอลกอฮอล์ + น้ำ









ชนิดของสบู่ 1. สบู่ก้อนขุ่น
เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่รู้จัก และใช้กันมานานจนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีขาวขุ่นหรือมีสีต่างๆ ตามสีของสารเติมแต่ง เช่น สีเขียว สีชมพู สีม่วง เป็นต้น สบู่ชนิดนี้ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ผลิตได้จากปฏิกิริยาข้างต้นเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ที่ให้คุณสมบัติเป็นก้อนแข็ง ขาวขุ่น ให้ฟองมาก

2. สบู่ก้อนใส
เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีลักษณะก้อนใสหรือค่อนข้างใสตามสัดส่วนของกลีเซอรีนที่ผสม ก้อนสบู่จะมีลักษณะอ่อนกว่าสบู่ก้อนขุ่น และสามารถทำให้เกิดสีใสต่างๆตามสารให้สีที่เติมผสม สบู่ชนิดนี้จะให้ฟองค่อนข้างน้อยกว่าสบู่ก้อนขุ่น เนื่องจากมีส่วนผสมของกลีเซอรีนเป็นส่วนใหญ่ สารตั้งต้นที่ใช้อาจเป็นกลีเซอรีนเหลวหรือกลีเซอรีนก้อน (กลีเซอรีนเหลว+เอทิลแอลกอฮอล์) ร่วมด้วยกับสารเติมแต่งชนิดต่างๆ
3. สบู่เหลว
เป็นผลิตภัณฑ์สบู่ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมทำให้เนื้อสบู่เหลว สีสีสันต่างๆตามสารเติมแต่ง สบู่ชนิดนี้ใช้สารตั้งต้นจากเกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากปฏิกิริยาข้างต้นเหมือนชนิดสบู่ก้อนขุ่น แต่ต่างกันที่จะใช้ด่างเข้มข้นโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์แทนโซเดียมไฮดรอกไซด์ เพราะจะให้เนื้อสบู่อ่อนตัวดีกว่า
ลักษณะของสบู่ที่ดี
1. มีความสามารถทำความสะอาดได้ดี
2. มีฟองในระดับที่เหมาะสม
3. มีความเป็นด่างน้อยในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหรือทำลายชั้นไขมันของผิว
4. สบู่ก้อนไม่มีเนื้อเหลว แตกหักง่าย
5. ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นหอมน่าใช้ และมีคุณสมบัติเฉพาะในบางกรณี เช่น สบู่ฆ่าเชื้อ
สารเคมีที่ใช้ทำสบู่
1. ไขมัน/น้ำมัน เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสารตั้งต้นสบู่ ไขมันหรือน้ำมันที่ใช้อาจได้จากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ส่วนไขมันที่ได้จากสัตว์ เช่น ไขมันโค กระบือ แกะ แพะ เป็นต้น คุณภาพของน้ำมันที่ได้จากพืช และสัตว์จะมีผลต่อคุณภาพของสบู่ เกล็ดสบู่ (soap)ที่ได้จากน้ำมันพืชจะให้ลักษณะขาวเนียน และกลีเซอรีนจะค่อนข้างใสกว่าน้ำมันจากสัตว์ นอกจานั้น เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากน้ำมันจากพืชจะมีกลิ่นหืนน้อยกว่าน้ำมันจากสัตว์ อีกทั้งน้ำมันจากพืชยังเป็นวัตถุดิบที่หาง่าย และราคาถูกกว่า
2. ด่างเข้มข้น เป็นสารเคมีสำคัญที่ใช้ทำปฏิกิริยากับไขมันธรรมชาติ ด่างเข้มข้นที่นิยมใช้ คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งจะได้เนื้อสบู่สีขาวทึบ เนื้อก้อนแข็ง ให้ฟองมาก นิยมนำมาทำสบู่ก้อนทึบ และอีกชนิดหนึ่ง คือ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งจะได้สบู่ในลักษณะเดียวกัน แต่เนื้อสบู่มีความอ่อนตัวได้ดีกว่า นิยมนำมาทำสบู่เหลว
3. สารเติมแต่ง เป็นสารเคมีสำหรับปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ เช่น สี น้ำหอม สมุนไพร สารป้องกันความชื้น สารลดความเป็นด่าง สารลดแรงตึงผิว สารทำให้ฟองคงตัว สารเพิ่มความแข็ง สารป้องกันการออกซิเดชัน สารบำรุงผิว สารฆ่าเชื้อ เป็นต้น เป็นสารเติมแต่งที่นิยมผสมในสบู่เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในแต่ละอย่าง
วิธีการทำสบู่
การทำสบู่ในระดับอุตสาหกรรม และระดับครัวเรือน ในกรรมวิธีหลักๆจะไม่แตกต่างกันมาก แต่ในทางอุตสาหกรรมจะมีกระบวนการที่ละเอียด และซับซ้อนกว่า โดยในภาคอุตสาหกรรมอาจเตรียมสบู่สารตั้งต้นเองหรือสั่งซื้อจากอีกแหล่งที่ทำหน้าที่รับผลิต ทั้งที่เป็นเกล็ดสบู่ (soap) เพื่อผลิตสบู่ก้อนขุ่น หรือสบู่เหลว และกลีเซอรีน เพื่อผลิตสบู่ก้อนใส
1. การผลิตสบู่ในภาคอุตสาหกรรม
สำหรับภาคครัวเรือนสามารถผลิตได้ทั้งสบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว โดยนิยมสั่งซื้อเกล็ดสบู่ (soap) และกลีเซอรีน จากแหล่งจำหน่ายโดยไม่ต้องเตรียมเอง
ขั้นตอนการผลิตสบู่ภาคอุตสาหกรรม
– การฟอกสีน้ำมันวัตถุดิบเพื่อให้น้ำมันมีสีใส และไม่มีกลิ่นหืน
– การต้มสบู่ เพื่อให้ได้เกล็ดสบู่ และกลีเซอรีน ด้วยการเติมด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
– ขั้นตอนการแยก โดยการแยกเกล็ดสบู่ และกลีเซอรีนออกจากกัน
– ขั้นตอนการฟิต เป็นการนำเอาเกล็ดสบู่เข้าหม้อฟิตเพื่อกำจัดเกลือที่ตกค้างในเกล็ดสบู่
– การระเหยน้ำ ด้วยการเป่าแห้งเกล็ดสบู่เหลวเพื่อกำจัดน้ำที่ผสมอยู่ และเพื่อให้เกล็ดสบู่แห้งจับตัวเป็นก้อน เรียกว่า สบู่ดิบ
– นำสบู่ดิบมาผสมกับส่วนผสมต่างๆ ภายใต้ความร้อนจนสารทั้งหมดละลายรวมตัวกัน และผ่านเข้าเครื่องอัดความหนาแน่นเพื่อให้สบู่เป็นก้อนที่คงตัว และสม่ำเสมอ
– เมื่อสบู่ที่ออกจากเครื่องอัดความหนาแน่นแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการรีดให้เป็นแท่งยาว และตัดด้วยเครื่อง
– ก้อนสบู่ที่ตัดเป็นก้อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการปั้มบนแม่พิมพ์ และตีตรา เข้าสู่ขั้นตอนการบรรจุในขั้นสุดท้าย
2. การผลิตสบู่สมุนไพรภาคครัวเรือน
2.1 สารตั้งต้น
การทำสบู่ในภาคครัวเรือนนิยมผลิตสบู่ก้อนขุ่น สบู่ก้อนใส และสบู่เหลว ซึ่งจะใช้สารตั้งต้นที่แตกต่างกัน โดยสามารถสั่งชื้อได้ตามอินเตอร์เน็ตหรือร้านขายส่งสารเคมีทั่วไป
– สบู่ก้อนขุ่น ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่เกิดจากการใช้ด่างโซเดียมไฮดรอกไซด์
– สบู่ก้อนใส ใช้สารตั้งต้น คือ กลีเซอรีนก้อน
– สบู่เหลว ใช้สารตั้งต้น คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่เกิดจากการใช้ด่างโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์
วิธีการเตรียมสารตั้งต้น
วัสดุ และสารเคมี:
– น้ำ 1 ลิตร
– โซเดียมไฮดรอกไซด์ 100 กรัม
– น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันปาล์ม 3 ลิตร
วิธีการ:
– ละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ในหม้อที่ต้มน้ำ คนให้ละลายจนหมด และตั้งทิ้งไว้ให้อุ่น
– เทน้ำมันพืชลงในหม้อ กวนให้เข้ากัน และเทใส่แม่พิมพ์หรือภาชนะอื่น
– รินน้ำ และสารละลายใสที่เป็นกลีเซอรีนส่วนบนออก
– สบู่จะนอนก้นเป็นตะกอนขาวขุ่น ซึ่งต้องตั้งทิ้งไว้ให้เย็น จนเกล็ดสบู่ (soap) จับตัวเป็นก้อน สำหรับการทำสบู่ก้อนขุ่น
2.2 สมุนไพร
สมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสมทำสบู่มีมากมายหลายชนิด ซึ่งอาจประยุกต์ใช้สมุนไพรชนิดอื่นนอกเหนือจากที่ยกตัวอย่าง
– มะขาม มะนาว มะกรูดให้วิตามินซี และกรด ช่วยขัดเซลล์ผิว และป้องกันเชื้อจุลินทรีย์
– เปลือกมังคุดให้วิตามินดี ลดรอยด่างดำ
– มะละกอ ให้วิตามินเอ ช่วยบำรุงผิวให้ขาว
– ว่านหางจระเข้ ให้วิตามินอีช่วยลดรอยจุดด่างดำ
– ขมิ้น ดาวเรือง ช่วยบำรุงผิว
การเตรียมสมุนไพร สามารถทำได้โดย
– การทำเป็นผง ด้วยการตากแห้ง และนำมาบดให้เป็นผงละเอียด และนำตากให้แห้งอีกครั้ง
– การสกัดเป็นสารละลาย ด้วยการบดสมุนไพรให้ละเอียด และนำมาต้มสกัดหรือนำมาแช่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำ
สบู่สมุนไพรควรเติมผงสมุนไพรประมาณร้อยละ 1-5 ของน้ำหนักสบู่ และสมุนไพรที่ได้จากการต้มสกัด ควรเติมประมาณร้อยละ 5-10 ของน้ำหนักสบู่
2.3 สารเติมแต่ง
– น้ำหอม เป็นสารเติมแต่งที่นิยมเติมในการทำสบู่ สามารถใช้ได้ทั้งน้ำหอมทั่วไปหรือน้ำหอมสำหรับสบู่
– ผงสี สารลดความกระด้าง สารรักษาความชื้น สารป้องกันการหืน ซึ่งสารเหล่านี้อาจไม่ใช้ก็ได้หากไม่สะดวกที่จะหาซื้อ
2.4 ขั้นตอนการทำสบู่
– นำเกล็ดเกล็ดสบู่ใส่หม้อภาชนะ ตั้งไฟอ่อนๆให้ละลายจนหมด
– เติมสมุนไพร หากเป็นผงประมาณไม่เกิน 50 กรัม หากเป็นน้ำสกัดไม่เกิน 100 ซีซี
– เติมสารเติมแต่ง เช่น น้ำหอม ผงสี และอื่นตามที่หาซื้อได้ พร้อมคนให้ละลายเข้ากัน
– เทสารละลายสบู่ในแม่พิมพ์ และรอจนแห้งตัวก็จะได้สบู่สำหรับใช้งาน
*เนื้อหาบทความนี้ สนับสนุนการใช้อ้างอิงสำหรับทางด้านการศึกษาเฉพาะในเอกสารเท่านั้น ห้ามคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาติเพื่อเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต*

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

7 ขั้นตอน ในการเริ่มต้นธุรกิจอาหาร ให้สำเร็จ



1. ประเมินจำนวนคนที่อยู่ในละแวก

สำหรับใครที่จะทำธุรกิจอาหารควรที่จะมีการวางแผน รวมไปถึงประเมินจำนวนคนที่อยู่ในละแวกนั้นว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อที่จะสามารถรู้ถึงจำนวนฐานลูกค้าของเราได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่

2. ดูความเป็นไปได้ของลูกค้าที่จะซื้อของเรา

เราจำเป็นที่จะต้องดูพฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนในระแวกนั้นๆว่าชื่นชอบรับประทานอะไร และอาหารอะไรที่ยังไม่มีขายในละแวกนั้นและเป็นร้านค้าที่ลูกค้าต้องการ

3. ดูทำเลที่ตั้งของร้าน

ทำเลที่ตั้งของร้านถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เชื่อได้ว่าทำเลที่ตั้งดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ต้องดูด้วยว่าทำเลที่มีเป็นขาเข้าหรือขาออก ลูกค้ามีความสะดวกหรือไม่ในการมาร้าน รวมไปถึงที่จอดรถของลูกค้าที่จะต้องมีความเตรียมให้ลูกค้าที่มาใช้บริการร้านเรา

4. ดูสถานการณ์ของตัวเองว่ามีจุดแข็งอะไร

เมื่อเราจะทำธุรกิจประเภทอาหารต้องดูด้วยว่าเรามีจุดแข็งของเราคืออะไร อาจจะเป็นเรื่องของรสชาติอาหาร ทำเลที่ตั้ง หรือบรรยากาศภายในร้าน เป็นต้น

5. กลยุทธ์ด้านการตลาด 

เราต้องดูว่าร้านอาหารของเราเจาะกลุ่มลูกค้าประเภทใด อาทิเช่น กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มคนรักสุขภาพ เป็นต้น  และคนที่อยู่แถวนั้นส่วนมากเป็นคนกลุ่มไหนเพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ถูกจุด

6. การตั้งราคา 

เราต้องดูทำเลที่ตั้งของร้านว่าอยู่ในระแวกไหน ค่าครองชีพเป็นอย่างไร รวมไปถึงดูรายได้ส่วนมากของคนละแวกนั้นว่ามีรายได้เท่าไหร่ แลัวจึงค่อยตั้งราคาอาหารให้มีความเหมาะสมกับรายได้ของลูกค้า

7. การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด

เราต้องดูความพร้อมของพนักงานในร้านว่าจะสามารถทำอาหารได้ทันกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ หรืออาจจะจัดให้มีบริการเดลิเวอรี่เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถใช้บริการร้านเราได้ แต่ทั้งนี้ต้องดูความพร้อมของพนักงานร้านด้วยว่าทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทัน จากจุดแข็งของร้าน อาจจะเป็นจุดอ่อนของร้านไปเลยก็ได้

ปลูกเบญจมาศ ได้เดือนละ 1 แสนบาท





คุณบัวคำ วรรณการ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 220 หมู่ที่ 3 บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ปลูกไม้ดอกเพื่อจำหน่าย โดยปลูกตลอดทั้งปี จนสามารถสร้างรายได้อย่างงดงาม ทำให้ชีวิตพออยู่ พอกิน ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้จ่ายไม่ขัดสนและยังเหลือเก็บฝากธนาคารอีกด้วย ส่วนดอกไม้ที่ปลูกนั้นคือ ดอกเบญจมาศ สีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น

คุณบัวคำ เล่าว่า เดิมทีครอบครัวตนจะประกอบอาชีพทำนาอย่างเดียว ต่อมาเพื่อนบ้านได้พากันปลูกดอกเบญจมาศขาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตนก็ยังลังเลใจอยู่ เพราะไม่มั่นใจในการตลาดและยังไม่มีความรู้ หลังจากดูเพื่อนบ้านปลูกเป็นเวลาหลายปี พร้อมศึกษาการปลูก การดูแลไปในตัว จึงตัดสินใจลงมือปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยแบ่งที่นามาทำเป็นแปลงเพาะปลูกดอกเบญจมาศจำนวน 4 ไร่ โดยปลูกเบญจมาศสีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและตลาดไม้ดอก และดอกของเบญจมาศที่ปลูกกันอยู่จะมี 3 ขนาด คือ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ตนจะปลูกทั้ง 3 ขนาดเลย ต่อมาเห็นว่ารายได้ดี จึงเลิกทำนา แล้วหันมาปลูกดอกเบญจมาศขายเพียงอย่างเดียว ส่วนที่นาบางส่วนก็ให้ญาติพี่น้องทำ
 เมื่อหันมาปลูกดอกไม้ขายอย่างจริงจังก็สามารถสร้างรายได้ดีกว่าการทำนามาก แรงงานก็ไม่ต้องจ้าง เพราะทำกันเองภายในครอบครัว แม้จะลงทุนสูงแต่ก็คุ้มค่า เพราะว่ารายได้ต่อเดือน ประมาณเดือนละ 120,000 บาท หลังจากหักต้นทุนผลผลิตแล้ว ก็จะเหลือเงินเก็บประมาณเดือนละ 80,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ถ้าหากมีแรงสู้และแรงงานมีเพียงพอก็คงปลูกเพิ่มอีกหลายไร่ แต่ก็คงไม่ไหว แค่ 4 ไร่ นี้ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว สำหรับการปลูกดอกเบญจมาศ ตนและเพื่อนบ้านจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม พอถึงเดือนตุลาคม จะเริ่มออกดอก และสามารถตัดขายได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ไปจนถึงเดือนเมษายน พอเดือนพฤษภาคม ก็เตรียมปลูกใหม่ ทั้งไถพรวนดิน เตรียมแปลง เพาะปลูก เรียกว่าทำกันทั้งปีเลยทีเดียว สำหรับตนแล้วจะปลูกทดแทนไปเรื่อยๆ เก็บตัดแปลงนี้หมดก็จะปลูกใหม่ทันที เรียกว่ามีขายทั้งปีกันเลยทีเดียว

คุณบัวคำ เล่าว่า สำหรับแม่พันธุ์นั้น ครั้งแรกตนจะสั่งซื้อแม่พันธุ์ที่เขาชำไว้แล้วมาปลูก โดยลงทุนซื้อแม่พันธุ์ครั้งแรกประมาณ 30,000 บาท ในปีต่อๆ มา จึงทำการคัดเลือกแม่พันธุ์เอง การทำสวนดอกไม้นี้ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับสวนและได้ผลตอบแทนเกินคาด สำหรับดอกเบญจมาศที่ตนปลูกจะออกดอกช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนเมษายน ของทุกปี พันธุ์ที่ตนปลูกนี้ ขาวญี่ปุ่น ขาวปิงปอง จะดูแลยากสักหน่อย ส่วนเหลืองเรวดี เหลืองขมิ้น จะดูแลง่าย ทั้งนี้ เราต้องมีความรู้ตั้งแต่การเตรียมการปลูก การเตรียมพันธุ์ ขยายพันธุ์ปลูก และการเตรียมแปลงชำรากดอกเบญจมาศ จึงจะประสบความสำเร็จและเก็บเกี่ยวได้ผล ซึ่งมีวิธีการดังนี้

1. เตรียมแป
คุณบัวคำ วรรณการ อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 220 หมู่ที่ 3 บ้านตาติด ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ปลูกไม้ดอกเพื่อจำหน่าย โดยปลูกตลอดทั้งปี จนสามารถสร้างรายได้อย่างงดงาม ทำให้ชีวิตพออยู่ พอกิน ไม่มีหนี้สิน มีเงินใช้จ่ายไม่ขัดสนและยังเหลือเก็บฝากธนาคารอีกด้วย ส่วนดอกไม้ที่ปลูกนั้นคือ ดอกเบญจมาศ สีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น

คุณบัวคำ เล่าว่า เดิมทีครอบครัวตนจะประกอบอาชีพทำนาอย่างเดียว ต่อมาเพื่อนบ้านได้พากันปลูกดอกเบญจมาศขาย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ตนก็ยังลังเลใจอยู่ เพราะไม่มั่นใจในการตลาดและยังไม่มีความรู้ หลังจากดูเพื่อนบ้านปลูกเป็นเวลาหลายปี พร้อมศึกษาการปลูก การดูแลไปในตัว จึงตัดสินใจลงมือปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยแบ่งที่นามาทำเป็นแปลงเพาะปลูกดอกเบญจมาศจำนวน 4 ไร่ โดยปลูกเบญจมาศสีเหลืองและสีขาว มีทั้งพันธุ์ขาวญี่ปุ่น พันธุ์ขาวปิงปอง ส่วนสีเหลืองก็เป็นพันธุ์เหลืองเรวดี พันธุ์เหลืองขมิ้น เพราะเป็นที่ต้องการของลูกค้าและตลาดไม้ดอก และดอกของเบญจมาศที่ปลูกกันอยู่จะมี 3 ขนาด คือ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ตนจะปลูกทั้ง 3 ขนาดเลย ต่อมาเห็นว่ารายได้ดี จึงเลิกทำนา แล้วหันมาปลูกดอกเบญจมาศขายเพียงอย่างเดียว ส่วนที่นาบางส่วนก็ให้ญาติพี่น้องทำ
ลง ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาวประมาณ 20-30 เมตร หรือตามความเหมาะสมของพื้นที่ โดยทำเป็นกระบะไม้ยกสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

2. ผสมดินสำหรับชำราก ใช้ทราย 1 ส่วน ดินร่วน 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักรองพื้นแปลงไว้ให้มีความหนาประมาณ 10 เซนติเมตร รดน้ำพอชุ่ม เริ่มชำได้ทันที

3. แปลงกระบะชำรากต้องอยู่ในโรงเรือน แล้วติดหลอดไฟตูม แรงเทียน 100 วัตต์ ประมาณ 3-5 หลอดเพื่อกกไฟให้กับต้นอ่อน ส่วนการดูแลรักษารากชำเบญจมาศนั้นก็ให้ทำตามขั้นตอน ถ้าจะบอกไปคงจะยาวพอสมควร เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ให้มาพบตนที่สวนได้ทุกวัน ยินดีที่จะอธิบายขั้นตอนการดูแลรักษาให้แบบฟรีๆ ที่สำคัญ เมื่อดูแลต่อเนื่องประมาณ 15 วัน ต้องย้ายต้นอ่อนลงปลูกตามปกติต่อไป หากเกินอายุ 15 วันไปแล้ว จะทำให้ดูแลยาก และการปลูกนั้นต้องปลูกให้ถูกวิธี ซึ่งตนไม่ขอกล่าวในที่นี้ รวมทั้งการดูแล การให้น้ำ การเด็ดยอดเพื่อให้ต้นแตกกิ่งข้างมากขึ้น การปลิดดอกข้างเพื่อให้ดอกเบญจมาศมีขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ตามความต้องการ และการเพิ่มแสงไฟ สิ่งเหล่านี้เราต้องศึกษาให้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง

คุณบัวคำ บอกว่า หลังปลูกได้ 7 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 30 กิโลกรัม ต่อแปลง โดยโรยตรงร่องระหว่างแถวของต้น แล้วเริ่มให้ไฟวันละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 22.00-02.00 น. ต่อเนื่อง 25 วัน เมื่อดอกเบญจมาศมีอายุได้ 15 วัน ให้พรวนดิน แล้วใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 ประมาณแปลงละ 0.5 กิโลกรัม เพื่อเร่งรากและใบ และเมื่อดอกเบญจมาศอายุครบ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 อีกครั้ง ในอัตราเท่าเดิม เมื่อดอกเบญจมาศครบ 60 วัน ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 8-24-24 อัตรา 1 กิโลกรัม ต่อแปลง จากนั้นเริ่มตกแต่งตาดอก คือเด็ดก้านดอกข้างลำต้นให้เหลือตรงปลาย 4-5 ดอก และเด็ดดอกตรงกลางด้วยเพราะดอกกลางจะบานก่อนเพื่อน หลังจากแต่งตาดอก 25 วัน ดอกไม้จะเริ่มแย้มและบานพร้อมกันทั้งหมดใน 30 วัน สามารถทยอยเก็บดอกไม้เริ่มจำหน่ายได้เรื่อยๆ แล้วแต่ความสมบูรณ์ของดอก แต่โดยรวมแล้วดอกเบญจมาศต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 วัน จะได้ดอกเบญจมาศที่สวย สมบูรณ์ และก้านตรง ตรงตามความต้องการของตลาด ตลอดช่วงเวลาที่ดอกเบญจมาศเจริญเติบโต เลื่อนตาข่ายขึ้นเสมอตามความสูงของดอกไม้ ให้รักษาระดับที่ใต้ก้านดอก 20-25 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ดอกเบญจมาศที่สวยงาม


การเก็บเกี่ยวดอกเบญจมาศ ต้องตัดดอกให้ห่างโคนต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นจึงไปปรับขนาดของก้านดอกตามความต้องการของตลาด แต่โดยรวมทั้งหมด ขนาดของก้านต้องไม่ยาวเกิน 60 เซนติเมตร ส่วนโรครบกวนนั้นก็มีบ้าง อย่างเช่นที่เขาเรียกโรคราน้ำค้าง โรคราสนิม และพวกแมลงต่างๆ หนอนกระทู้ หนอนแก้ว เพลี้ยต่างๆ และเพลี้ยไฟ เราก็ต้องเรียนรู้การป้องกันและการกำจัด ที่สำคัญอ่านคำแนะนำบนฉลากของยาแต่ละชนิดให้เข้าใจ และป้องกันตัวเองเรื่องการแพ้สารเคมีด้วย

ในตอนท้าย คุณบัวคำ บอกว่า ตลาดรองรับดอกไม้ของตนนั้นคือ ตลาดสดอำเภอวารินชำราบ ตลาดเทศบาล 1 ในเมืองอุบลราชธานี ช่วงแรกๆ ต้องนำไปวางขายเอง แต่ในปัจจุบัน แม่ค้าคนกลางจะมารับซื้อถึงสวน โดยเราจะทำเป็นมัด มัดละไม่เกิน 20 ดอก แล้วชั่งกิโลขาย ในราคากิโลกรัมละ 70-80 บาท บางทีมีคนมาเหมาที่สวนเป็นจำนวนมากๆ ก็จะชั่งกิโลขายเลย ไม่ต้องมัด และยังมีลูกค้าจากจังหวัดใกล้เคียง ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด มาสั่งซื้อคราวละมากๆ และมารับถึงสวน จนเป็นขาประจำกันไปแล้วก็หลายราย ทำให้ปัญหาเรื่องตลาดจำหน่ายหมดไป สร้างรายได้เดือนละ 100,000 บาท อย่างสบายๆ เพื่อนบ้านบางคนปลูกหลายไร่ก็ยิ่งมีกำไรมากกว่าตนขึ้นไปอีก และในแต่ละปีจะมีช่วงที่ขายดีที่สุดคือ ช่วงออกพรรษา ต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลลอยกระทง จนถึงวันวาเลนไทน์ เรียกว่าตลอดฤดูหนาว รายได้จะดีมากและยังมีคณะทัวร์จากต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมแปลงดอกไม้ในหมู่บ้านของเรากันมากในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทำให้ดอกไม้ขายดีตามไปด้วย